top of page

เลือกสกินแคร์ยังไงให้เหมาะกับผิวเรา!!

ถ้าพูดถึงสกินแคร์ หลาย ๆ คนก็ยังเข้าใจผิดอยู่ว่ามันคือ ครีม เซรั่ม ที่ใช้กับผิวหน้าและผิวกายอย่างเดียวหรือเปล่า จะบอกว่ามันกว้างกว่านั้นมาก เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบจะทุกอย่างตั้งแต่ที่อยู่ในห้องน้ำไปยันโต๊ะเครื่องแป้งของเราเลย ไม่พูดเยอะละ เรามารู้จักสกินแคร์แบบเจาะลึก ถึงรากถึงโคนไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า! 

สกินแคร์คืออะไร? 

ความหมายของ Skincare (สกินแคร์) ถ้าจะแปลตรงตัวเลยก็คือ สิ่งที่บำรุงดูแลสภาพผิวของเราให้ดีขึ้น ดูมีสุขภาพดี น่าดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกาย แต่ถ้าจะเอาให้ลึกซึ้งกว่านั้นอีกก็ต้องบอกว่าสกินแคร์ถือว่าเป็นเครื่องสำอางอย่างนึง ซึ่งคำว่า Cosmetics เนี่ย ก็มาจากคำว่า "Kosm tikos" ที่แปลว่า “พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงและทักษะในการตกแต่ง” ทีนี้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของการถือกำเนิดสกินแคร์ตัวแรกของโลกขึ้นมานั้นมีมายาวนานกว่าที่คิด หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าใครกันที่เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา จะใช่คลีโอพัตราในตำนานอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่านะ เรามาดูต่อไปกันเลยค่ะ

จุดเริ่มต้นของสกินแคร์ 

จุดกำเนิดของการเกิดสกินแคร์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วง


- Prehistory : ช่วงนี้เป็นช่วงลองผิดลองถูก การใช้เครื่องสำอางจะเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ความเชื่อ และการรักษาโรค ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางเวทมนตร์คาถา ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ เช่น การที่ชนเผ่าทาหน้าด้วยสี การสัก การทาตัวโดยใช้พืชสมุนไพร แร่ธาตุต่าง ๆ เพื่อป้องกันแสงแดด เป็นต้น

- History : ยุคนี้จะเริ่มแยกระหว่างศาสนา ความเชื่อ, เครื่องสำอาง และ การรักษาโรค แถมยังเป็นจุดกำเนิด Cold Cream ตัวแรกที่คิดค้นโดย Galen ในช่วงยุคโรมัน คนนี้นี่ถือเป็นบิดาแห่งวงการเภสัชกรรมเลยทีเดียวนะ และจุดประสงค์ของการทำ Cold Cream นี้ก็เพื่อเอามาใช้ลดอาการแพ้ โดยมีส่วนผสมของน้ำกุหลาบ น้ำมันมะกอก และไขผึ้ง ซึ่งถือเป็นรากฐานของครีมในยุคปัจจุบันเลย ยังไม่พอ ยุคนี้ยังเกิดโคโลญ (Eau de Cologne) ขึ้นมา ทำให้สาว ๆ ในยุคนั้นมีกลิ่นกายหอมเย้ายวนกันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยละ

- Modern Cosmetics : ยุคนี้คือยุคใหม่ของวงการเครื่องสำอาง เริ่มมีการใช้สารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำสกินแคร์ รวมถึงมีการกำเนิด FDA หรือ อย.ในยุคนี้นี่เองค่ะ ซึ่งต่อมาในปี 1939 มีบริษัทเครื่องสำอางเกิดขึ้น เช่น P&G, Avon และ Elizabeth Arden เป็นต้น 

รู้จักที่มาที่ไปของสกินแคร์คร่าว ๆ กันแล้ว มาดูเนื้อสัมผัสกันบ้างดีกว่าว่าทั้งหมดมีอะไรบ้าง!

รู้จักเนื้อสัมผัสทั้งหมดในสกินแคร์ 

1. Powders (ผงแป้ง)

เนื้อแบบนี้จะมี 2 แบบ คือ

- แป้งฝุ่น (Loose Powder) ไม่ว่าจะเป็นแป้งเด็ก หรือแป้งที่เอาไว้ปัดแต่งหน้าควบคุมความมันอย่าง Translucent Powder ก็จัดเป็นประเภทนี้หมดค่ะ

- แป้งอัดแข็งหรือแป้งตลับ (Compact Powder) ที่ทำโดยใช้แป้งฝุ่นมาอัดแน่นลงในตลับด้วยน้ำมันเพื่อให้พกพาง่าย ใช้สะดวก แถมแป้งแบบนี้ยังมักใส่เม็ดสีเพื่อปรับสภาพผิวของเราให้ดูสว่างใส และช่วยปกปิดจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างดีอีกด้วย

2. Gels (เจล)

สำหรับเนื้อเจลก็มี 2 แบบเช่นกันค่ะ คือแบบที่เป็น

- เจลเนื้อน้ำ (Hydrogel) พบเห็นได้ทั่วไปเลย ส่วนใหญ่จะเป็นเจลแบบนี้ คือทาแล้วแตกตัวเป็นน้ำซึมเข้าผิวไปเลย จริง ๆ แล้วเจลแบบนี้ยังแบ่งได้ตามส่วนประกอบอีก คือถ้ามีน้ำเป็นองค์ประกอบจะเป็น Aqueous Gel และถ้ามีแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบ จะเป็น Hydroalcoholic Gel ค่ะ
- เจลเนื้อน้ำมัน (Oleogel) ซึ่งสกินแคร์เทรนด์ใหม่อย่าง Capsule ผสมสดให้ความชุ่มชื้นมากกว่าปกติหลายเท่า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบเจลเนื้อน้ำมันนี่เองค่

3. Solutions (โซลูชั่น) 

- โซลูชั่นแบบน้ำ (Aqueous Solution) อย่างพวกโทนเนอร์ เอสเซนส์ต่าง ๆ รวมถึงแอมพูล (Ampoules) และ บูสเตอร์ (Boosters) และสกินแคร์แบบแผ่น (Skincare Pads) ก็จัดอยู่ในประเภทนี้เช่นเดียวกัน
- โซลูชั่นแบบน้ำมัน (Oily Solution) พวกคลีนซิ่งออยล์ น้ำมันบำรุงผิวต่าง ๆ ก็จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ค่ะ
- โซลูชั่นแบบแอลกอฮอล์ (Hydroalcoholic Solution) แบบนี้เห็นได้บ่อย ๆ เลย เช่น โทนเนอร์สูตรสำหรับผิวมัน น้ำหอม เป็นต้น

4. Ointments (เนื้อบาล์ม) 

ตัวนี้พบเห็นได้ทั่วไป อย่างเช่น บาล์มบำรุงให้ความชุ่มชื้นผิว หรือขี้ผึ้ง วาสลีน ลิปแคร์ ซึ่งเนื้อบาล์มแบบนี้มักจะใส่คุณประโยชน์มาให้ผิวค่อนข้างเยอะ เช่น รักษาบาดแผล ให้ความชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิว รวมไปถึงช่วยทำความสะอาดผิวอย่างคลีนซิ่งบาล์มด้วยค่ะ 

5. Sticks (เนื้อแบบแท่ง) 

แบบที่เห็นมานานก็จะเป็นพวกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายต่าง ๆ รวมไปถึงลิปสติก สกินแคร์แบบแท่งนี้ มีขึ้นมาเพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการใช้อย่างตัวใหม่ ๆ ก็เช่น อายครีมแบบแท่ง กันแดดแบบแท่ง ที่สามารถทาได้ทุกที เติมได้ทุกเวลา ถือเป็นสกินแคร์อีกหนึ่งแบบที่น่าจับตามอง

6. Emulsion (อีมัลชั่น) 

ตัวนี้คุ้นหูคุ้นตามากที่สุดและเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในวงการสกินแคร์เลยทีเดียว เพราะว่าอีมัลชั่นนี้คือสิ่งที่ผสมระหว่างน้ำกับน้ำมัน จะต่างกันแค่ความเข้มข้นเท่านั้น โดยถ้าเนื้อเข้มข้นมาก ๆ ก็จะจัดเป็น "ครีม" แต่ถ้าความเข้มข้นน้อยหน่อย เกลี่ยง่าย ซึมไวขึ้น จะเป็นประเภท "โลชั่น" ค่ะ 

7. Suspensions (แขวนลอย) 

อันนี้อาจจะเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าพูดถึง แป้งน้ำ คาลาไมด์ ยาทาเล็บ รองพื้น จะพอเห็นภาพขึ้นมาทันที คือเนื้อแบบนี้จะเหมือนมีเม็ดของแข็งลอยอยู่ในของเหลว โดยที่ของแข็งนั้นไม่ได้ละลาย ทำให้เกิดการแยกชั้นได้ เวลาจะใช้จึงจำเป็นต้องเขย่าให้เข้ากันก่อนนั่นเอง

8. Pastes (เนื้อสครับ)

จริง ๆ คำนี้คนไทยอย่างเรา ๆ อาจจะไม่ชิน เนื้อแบบนี้จะคล้าย ๆ กับแขวนลอย แต่เนื้อข้นกว่า อย่างที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ ยาสีฟันและสครับมาสก์หน้าค่ะ

9. Aerosols (สเปรย์)

ตัวนี้มีความพิเศษกว่าตัวอื่น ๆ หน่อยตรงที่ จะเป็นเนื้อแบบเหลวหรือแบบแข็งก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เนื้อแบบอีมัลชั่น โซลูชั่น และผงแป้งมาอัดก๊าซเข้าไปในแพ็คเกจจิ้ง ทำให้เกิดแรงดัน เวลาฉีดออกมาก็จะเกิดเป็นฝอย แบบที่เราเรียกกันว่าสเปรย์ค่ะ ประเภทนี้จะเจอบ่อย ๆ ในพวกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและครีมโกนหนวดค่ะ

10. Bar Soaps (สบู่ก้อน)

ก็บอกแล้วว่าสกินแคร์คือทุกอย่างที่เกี่ยวกับผิว นับตั้งแต่ทำความสะอาด บำรุง และปกป้องผิว เพราะฉะนั้นสบู่ก้อนจึงเป็นอีกประเภทหนึ่งของสกินแคร์ไปโดยปริยายค่ะ แต่ที่เราเห็นกันนี้เขายังแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีกถึง 3 ชนิด คือ

- สบู่ทั่วไป (Toilet Soap) ตัวนี้ก็คือสบู่อาบน้ำที่เราใช้กันปกติทั่วไปเลยค่ะ มีความเป็นด่างสูง (pH 9-10) ใช้แล้วรู้สึกสะอาดผิว
- สบู่ใส (Transparent Soap) ตัวนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้ดูสวยงามขึ้น และอ่อนโยนขึ้นเพราะมีสารที่ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้นนั่นเองค่ะ
- สบู่สังเคราะห์ (Syndet Soap) ตัวนี้เป็นตัวที่แพงที่สุด เพราะใช้ต้นทุนในการทำสูง แถมมี pH 5.5-7 ซึ่งเข้ากันได้ดีกับผิวด้วยนะ 

มาเลือกส่วนผสมให้ตรงกับปัญหาผิวกัน!! 

จริง ๆ นอกจากเนื้อสัมผัสที่เราต้องคำนึงถึงแล้ว การเลือกส่วนผสมสำคัญ (Active Ingredients) ก็สำคัญไม่แพ้กัน มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละตัวจะมีตัวไหนเด็ด ๆ ที่ต้องไปโดนกันบ้าง!

Moisturizer (ให้ความชุ่มชื้น)

ให้มองหา : Hyaluronic Acid, Sodium PCA, Propylene Glycol, Ceramides, Ammonium Lactate และ Sorbitol 

Whitening (ปรับผิวกระจ่างใส) 

ให้มองหา : Niacinamide, Alpha-Arbutin, Vitamin C, Kojic Acid และ Glycolic Acid 

Anti-Aging (ลดเลือนริ้วรอย)

ให้มองหา : Retinol, Peptides, Ceramides, Coenzyme Q10, Caffeine, Biotin, Green Tea Extract และ Tocopherol 

Anti-Pollution (ปกป้องผิวจากมลภาวะ)

ให้มองหา : Malachite, Activated Charcoal, Algae Extract, Sea Salt Minerals, Ginseng, Sumac, Gotu Kola และ Vitamin C

Antioxidants (ต่อต้านอนุมูลอิสระ)

ให้มองหา : Green Tea Extract, Tocopherol, Lycopene, Caffeine, Resveratrol, Genistein, Vitamin C และ Grape Seed Extract

Anti-Acne (ลดสิว) 

ให้มองหา : Benzoyl Peroxide, Salicylic Acid, Tea Tree Oil และ Retinoids 

Anti-Inflamatory (ลดการอักเสบ)

ให้มองหา : Chamomile, Witch Hazel, Aloe Vera, Licorice, Oatmeal, Ginger และ Turmeric (Curcumin) 

Sunscreen (ปกป้องผิวจากแสงแดด)

ให้มองหา : Resveratrol, Genistein, Zinc Oxide, Titanium Dioxide และ Mexoryl SX

เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว

ผิวมัน (Oily Skin) 

ลักษณะผิว : ผิวมัน เงา โดยเฉพาะบริเวณ T-ZONE คือ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง มีรูขุมขนกว้าง ที่เกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนและเป็นสิวได้ง่าย แต่ข้อดีของผิวแบบนี้ก็คือเกิดริ้วรอยช้ากว่าผิวแบบอื่น ๆ 

เนื้อสัมผัสที่ใช่ : ผิวแบบนี้ต้องใช้เนื้อสัมผัสที่บางเบา ซึมง่ายอย่างเนื้อเจล โลชั่น และโซลูชั่นแบบน้ำค่ะ

หลีกเลี่ยง : เนื้อสัมผัสแบบน้ำมันและบาล์ม เพราะจะไปเพิ่มความมันให้ผิวจนผิวเสียสมดุลมากยิ่งขึ้น

ส่วนผสมต้องห้าม : ซิลิโคน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตัน จนเกิดสิวในที่สุด อีกตัวคือ AHA ควรใช้เป็น BHA มากกว่า เพราะเขาละลายในน้ำมัน และยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิวได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวอุดตันด้วยค่ะ 

ผิวแห้ง (Dry Skin) 

ลักษณะผิว : มีรูขุมขนที่ละเอียดแต่ผิวแห้งแตกง่าย ลอกเป็นขุยได้ง่าย โดยเฉพาะหลังล้างหน้าจะรู้สึกตึงและฝืดผิวหน้า บางครั้งก็มีอาการคัน แสบ แดง ระคายเคืองได้ง่าย และมักจะมีปัญหาเรื่องริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายกว่าผิวแบบอื่น 

เนื้อสัมผัสที่ใช่ : ผิวแบบนี้ต้องเน้นเติมน้ำให้ผิว และปกป้องไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว ฉะนั้นควรเลือกเนื้อสัมผัสแบบบาล์มและโซลูชั่นแบบน้ำมันมาช่วยเคลือบผิวกักเก็บความชุ่มชื้นค่ะ

หลีกเลี่ยง : เนื้อสัมผัสแบบสครับ สบู่ ด้วยนะ เพราะสครับจะขัดผิวให้บางขึ้น ทำให้เกิดผิวแห้งและริ้วรอยได้ ยิ่งผิวแห้งเกิดริ้วรอยง่ายอยู่แล้วต้องระวังมากขึ้น ในขณะที่สบู่ก็มีฤทธิ์เป็นด่างทำให้ผิวแห้งเข้าไปใหญ่ ลองเลือกใช้สบู่เหลวแทน อีกอย่างที่ไม่ควรใช้คือโซลูชั่นแบบน้ำ เพราะกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ไม่พอนั่นเอง

ส่วนผสมต้องห้าม : ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซัลเฟต ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ รวมถึง BHA ที่ไม่เหมาะกับคนผิวแห้งเท่าไหร่ ลองใช้เป็น AHA ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ด้วยจะเห็นผลกว่าค่ะ 

ผิวผสม (Combination Skin)

ลักษณะผิว : ผิวแบบนี้เป็นผิวที่พบได้มากที่สุดในประเทศที่มีอากาศร้อน แถมเรียกได้ว่ามีปัญหาของสองสภาพผิวในเวลาเดียวกัน คือมีทั้งบริเวณที่ผิวแห้ง หรือ U-Zone (รอบดวงตา ข้างแก้มและคาง) ที่มักเกิดบริเวณแห้ง ลอก เป็นขุย ในขณะที่บริเวณผิวมัน หรือ T-Zone (หน้าผากและจมูก) ซึ่งจะมีต่อมผลิตไขมันที่มากกว่าบริเวณอื่น ๆ และเป็นส่วนที่เกิดสิวได้ง่ายนั่นเอง

เนื้อสัมผัสที่ใช่ : จริง ๆ แล้วอยากให้เลือกใช้แบบของคนผิวมันตรงช่วง T-Zone และแบบคนผิวแห้งตรงช่วง U-Zone เพราะเป็นวิธีดูแลผิวที่ตรงจุดที่สุด แต่ถ้าใครขี้เกียจใช้หลายตัว ซับซ้อนก็ให้เลือกเป็นแบบอีมัลชั่นและโซลูชั่นแบบน้ำเข้าไว้ค่ะ Play Safe!

หลีกเลี่ยง : ในฐานะที่มีส่วนผสมของผิวแห้งและผิวมันบนใบหน้า อะไรที่ผิวแห้งและผิวมันไม่ควรใช้ ผิวผสมก็ไม่ควรใช้เช่นกัน เช่น บาล์มต่าง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ รวมถึงสบู่ที่อาจทำให้เกิดอาการผิวแห้ง ระคายเคืองได้

ส่วนผสมต้องห้าม : แอลกอฮอล์และซิลิโคน 

ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) 

ลักษณะผิว : ผิวบอบบางแพ้ง่ายแบบนี้ต้องใส่ใจเลือกสกินแคร์ที่สุด เพราะผิวไวต่อสารเคมี มลภาวะ แสงแดด ฝุ่นควันต่าง ๆ ผิวแบบนี้เป็นสิวง่าย เป็นผื่นง่าย อักเสบง่าย และบางครั้งอาจมีอาการแสบ แดง คัน ร่วมด้วย ต้องเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษกว่าผิวแบบอื่น ๆ ค่ะ

เนื้อสัมผัสที่ใช่ : เนื้อสัมผัสที่ใช่ที่สุดสำหรับผิวแบบนี้ขอแนะนำเป็น โซลูชั่นแบบน้ำเลยค่ะ แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ปนมาด้วยนะคะ ไม่งั้นจะยิ่งแพ้ไปกันใหญ่

หลีกเลี่ยง : ไม่ควรใช้สครับ สบู่ และโซลูชั่นแบบแอลกอฮอล์ เพราะจะเป็นการไปรบกวนผิว และทำให้ผิวแห้ง แพ้ ระคายเคืองมากขึ้นด้วย

ส่วนผสมต้องห้าม : หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์, น้ำหอม, พาราเบน, AHA, BHA รวมไปถึงสารระคายเคืองต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ 

เนื้อหาในส่วนนี้นำมาดัดแปลงบางส่วน เพื่อบอกต่อเกร็ดความรู้ในการเลือกใช้สกินแคร์ Cr.ที่มา https://shorturl.asia/Jp9Gt

bottom of page